วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

ไปงานศพ (ต่อ)

ไปงานศพคราวนี้ได้ข้อคิดอะไรดีๆมาหลายเรื่องเลย
ปกติไปงานศพกันหลายคน ก็ไม่ค่อยได้ทันคิดอะไร แต่ครั้งนี้ไปคนเดียวและไปถึงวัดที่จัดงานศพก่อนใครเพื่อน (อย่างที่เราคิดระแวงล่วงหน้าเชียว) ทำให้ต้องใช้สติอย่างมาก ตั้งแต่ดูแผนที่หาที่ตั้งวัด กะเวลาออกจากบ้านให้เหมาะสม  เมื่อไปถึงวัดเร็วเกินไปจะแก้ไขอย่างไร ถ้าเจออะไรไม่ชอบมาพากลจะอยู่หรือจะเผ่น ฯลฯ...
เอาล่ะ เล่าเรื่องต่อ...
พวกเรากินข้าวเสร็จ ดูเวลาเห็นเกือบจะ 1 ทุ่มแล้ว จึงเดินหาห้องน้ำเข้าตามระเบียบ (ไม่กล้า เอ้ย! ไม่อยากไปเข้าที่วัด) เดินหาอยู่พักใหญ่ถึงเจอห้องน้ำ แต่ครั้งนี้ทางเข้าห้องน้ำไม่ลึกจนน่ากลัวเหมือนชั้น 1( ถ้าใครปวดฉี่มาก อย่าเข้าห้องน้ำชั้น 1 นะ ฉี่ราดกลางทางค่อนข้างแน่!) จากนั้นก็ตกลงใจฝากรถไว้ที่ลานจอดของห้าง แล้วพวกเราก็เดินไปวัดซึ่งอยู่ติดห้างแบบใช้กำแพงเดียวกันได้เลย เมื่อไปถึงศาลาตั้งศพ เพื่อนก็พาเข้าไปไหว้คุณแม่และพากราบศพคุณพ่อเสร็จก็พาออกมาจุดธูปไหว้ข้างนอกห้องแอร์ที่ตั้งศพ พวกเรายืนเรียงต่อกัน เพื่อนคนหน้าสุดก็ส่งธูปที่จุดแล้วส่งต่อมาให้ ธูปส่งมาถึงเราเหลือ 2 ดอก เรารับไว้แล้วเหลียวไปข้างหลังเพื่อส่งต่อ อ้าว!  ไม่มีใครแล้วนี่หว่า!?!
แล้วเพื่อนเราส่งธูปมาให้ใครล่ะ เราถามทันทีว่า "เฮ้ย!  มีฉันคนเดียวแล้วนายส่งธูปมาทำไม 2 ดอก เห็นใครอยู่ข้างหลังฉันอีกวะ ? "  แล้วเราก็เหลียวหลังดูอีกให้แน่ๆ พลางทำท่าเป็นเรื่องตลก แต่คงไม่เนียน เพื่อนอีกคนเลยหันมาดึงธูปไป 1 ดอก แล้วบอกเพื่อนคนแรกว่า "บอกแล้วว่าอย่าจุดธูปเผื่อ เห็นไหม? " เราก็หัวเราะแหะๆ ประมาณว่าไม่กลัวหรอก ทำตลกไปงั้นแหละ
เมื่อฟังสวดศพเสร็จงาน ก็ยืนรอขึ้นรถของเพื่อนคนหนึ่งเพื่อไปเอารถที่ห้าง เราจึงเริ่มมองบริเวณหน้าศาลาและเมรุเผาศพชัดๆ


สว่างมุมเดียว นอกนั้นมืดหมด เพราะศาลาอื่นไม่มีงาน

มองเมรุแล้วก็มืดๆอึมครึม แต่แปลกใจว่าทำไมข้างหลังเมรุดูสว่างหลอกตา หรือว่าเปิดไฟส่องไว้ เราจึงเดินไปดูให้หายสงสัย (หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว!) ปรากฎว่าหลังเมรุคือ ป้ายโฆษณาของห้าง ใหญ่เบ่อเร่อ เหมือนเป็นฉากหลังของเมรุ เพราะอยู่ติดประชิดวัดมากไป เห็นแล้วปลง ไม่ใช่ปลงตก แต่ปลงว่า เวลาส่งศพขึ้นเมรุเตรียมเผาแล้ว คนที่มางานเผาจะสลดสังเวชได้หรือ มีป้ายสินค้าล่อตาล่อใจอยู่ใกล้เสียขนาดนี้ เรายืนมองอยู่สักพักก็เลิกคิดฟุ้งซ่าน เพราะวัดอยู่มานาน คงไม่ย้ายเมรุหนีป้ายหรอก

ข้างหลังเมรุเป็นป้ายโฆษณาของห้างใหม่ สว่างโร่ ชัดจนแสบตา

พอขึ้นรถเพื่อนได้ก็สบายใจคิดว่าจะได้กลับบ้านสักที! เพื่อนขับรถตรงออกไปตามทางที่ขับเข้ามา ไม่มีใครเอะใจ เพราะทุกคนเดินมาจากห้าง เราเองก็ลืมว่าต้องเลี้ยวซ้ายออกจากวัด ปรากฎว่าเพื่อนขับตรงไปเรื่อยๆ ทางแคบแถมมีรถจอดชิดข้างทางอีก สุดทางไปต่อไม่ได้ เพราะติดรถจอดอยู่ เพื่อนเราต้องถอยรถยาวเลย ช่วยลุ้นกันสุดชีวิต ไม่ให้เฉี่ยวชนกับรถที่จอดอยู่ พอหลุดออกมาได้ หัวเราะกันใหญ่ โล่งอก!  เจ้าของรถบอกว่าแทบจะร้องไห้เลย ตอนถอยยาวออกมา จากนั้นก็ขับรถไปส่งพวกเราที่ลานจอดรถของห้างใหม่
เฮ้อ! บอกตรงๆ ไปงานศพคราวนี้เหนื่อยจริงๆ ใครไปไหนมาไหนคนเดียว อย่าลืมสติไว้ที่บ้านเป็นอันขาด จะเอาตัวไม่รอดนะ !


Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

ไปงานศพ

ขึ้นปีใหม่ 2560 ปีระกา
ได้ข่าวจากเพื่อนนักเรียนเก่าว่า คุณพ่อของเพื่อนเสียเมื่อ 12 มกราคม 2560 พวกเพื่อนๆจึงนัดกันไปงานศพของท่านในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ที่วัดเก่าแก่หนึ่ง แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง
(วัดนี้เป็นวัดใหญ่สวยงามดี แต่มีสิ่งปลูกสร้างเต็มพื้นที่วัด แทบไม่เหลือต้นไม้ให้อาศัยร่มเงาเลย ที่จอดรถมีบ้างเล็กน้อย)
เราอาศัยดูที่ตั้งวัดจากแผนที่กูเกิลและนัดกับเพื่อนว่าจะไปถึงวัดประมาณ 5-6 โมงเย็น แต่ให้เจอกันก่อนที่ห้างเปิดใหม่ที่อยู่หน้าวัด เราก็ตกลงแต่ออกตัวก่อนว่าอย่าไปเร็วนักนะ เดี๋ยวเจ้าภาพงานศพยังไม่มา พวกเราจะวังเวงเสียเปล่าๆ
ประมาณ 4 โมงเย็นกว่าๆ เราก็ขับรถออกจากบ้าน ไม่ได้ขับเร็วเพราะกลัวไปถึงวัดเร็วเกินไป (ตามที่บอก) ปรากฎว่า รถไม่ติดเลย เราก็ขับเอื่อยเฉี่อยค่อยๆมองหาทางเข้าวัดตามที่เพื่อนและกูเกิลบอก เลี้ยวเข้าถนนซอยขับผ่านห้างใหม่ใหญ่โตเหลือขนาด เลี้ยวขวาตรงทางแยกนิดเดียวถึงประตูวัดแล้ว เราเลี้ยวซ้ายเข้าประตูวัดและขับชิดซ้ายพลางชะลอรถมองหาศาลาตั้งศพ เห็นแต่สิ่งปลูกสร้างใหม่ๆใหญ่ๆเต็มไปหมด หาที่จอดรถไม่เ่จอ จึงตัดสินใจเลี้ยวขวาไปทางหมู่ตึก ริมทางซ้ายมือมีพระและฆราวาสกำลังเทปูนอยู่ จึงจอดรถถามทางไปศาลาตั้งศพ ช่างบอกให้ขับตรงไปแล้วเลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว เรายกมือไหว้ขอบคุณ(ไม่ได้สนใจว่าช่างจะอายุน้อยหรือมาก)
เราขับรถตรงไปช้าๆ เพราะทางแคบ เจอทางแยกก็มองซ้ายขวาแล้วเลี้ยวขวา เนื่องจากตรงต่อไปไม่ได้ (มองไม่เห็นใครผ่านมาให้ถามเลย) เราขับไปตามทาง มองไปข้างหน้าคล้ายทางตัน แต่มีประตูทางเข้ามองเห็นเมรุเผาศพ (ตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่ากำลังเห็นอะไรอยู่)
ขาเข้า-มองจากรถก็เห็นเมรุอยู่กลางลาน

เราหยุดรถหน้าประตูด้วยความลังเลว่าจะไปต่อดีไหม เพราะ...
1. เวลา 17. 05 น. ฟ้ายังสว่างมากแต่ทำไมไม่มีคนหรือน้องหมาให้เห็นเลย ไม่มีรถขับตามมาสักคัน บรรยากาศเงียบ สงบ เย็น...

    ทางเข้า-มองจากหน้าเมรุ
    (รูปนี้ถ่ายย้อนทาง)
2.เห็นชายชราผมขาวโพลนในชุดสีดำสนิท นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดตรงกลางทางขึ้นเมรุอยู่คนเดียว มองเป๋งมาที่รถเรา (รู้สึกว่าแปลกๆ แต่ยังคิดไม่ทันว่าทำไม?...  เราคิดแต่ว่าคุณลุงไปนั่งตรงนั้นทำไม? (...มันใช่ที่ควรจะนั่งหรือ? )
ตอนสวดศพเสร็จงานแล้วถึงเห็นป้าย "เมรุฌาปนกิจศพ"

     นั่งมองกันสักพัก เราก็ขับรถผ่านประตูเข้าไปแล้วหยุดมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าขวามือเป็นศาลาตั้งศพ เราจึงกลับรถบริเวณหน้าเมรุนั้นเลย มองไม่เห็นคุณลุงแล้วแต่ศาลาซ้ายมือมีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาขึ้นรถกระบะที่จอดไว้ข้างศาลา  เราใจชื้นแต่ยังไม่ไว้ใจก็รีบขับรถออกมาจอดที่ลานจอดรถ มีรถแค่ 2 คัน เรารออยู่สักพักก็โทรศัพท์ตามเพื่อนดีกว่า มันชักจะยังไงๆแล้ว(ไม่ได้กลัวผีแต่รู้สึกว่านั่งอยู่คนเดียว ฟังเสียงลมพัดใบไม้ซู่ซ่า รู้สึกวังเวงนะ) เพื่อนบอกไปเจอกันที่ห้างใหม่ เพราะพวกเขาเพิ่งมาถึงที่ห้าง เพื่อจะกินข้าวกันก่อน เราก็ขับรถแน่บออกไปเลย ใช้เวลาแค่ 2-3 นาทีจากลานวัดสู่ลานจอดรถของห้างได้  
     พอเจอเพื่อนๆก็โล่งอก เราบ่นว่านึกไม่ถึงว่าจากบ้านเรามาวัดนี้จะเร็วมาก รถไม่ติดเลย เราจึงเข้าไปสำรวจวัดก่อนใคร ถึงรู้ว่ามีที่จอดรถน้อยมาก จากนั้นพวกเราก็เดินเรื่อยเปื่อยไปหาข้าวกิน เราปวดฉี่ (สงสัยอั้นมาจากเหตุการณ์ตื่นเต้นในวัด อิ อิ)  ก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำที่ชั้น 1 ก่อนไปกินข้าวชั้น 5 

ปากทางเข้าห้องน้ำที่ ชั้น 1

     จากปากทางมองเข้าไปเป็นทางแคบๆ ลึกประมาณ 10 เมตร เราก็เดินเข้าไปคนเดียว จากนั้นเลี้ยวหักศอกซ้ายมองไปเป็นทางยาวไกลมาก เราชักใจไม่ดี เพราะมีเราคนเดียวเดินไป แต่ก็ปวดฉี่เหลือใจ เอาวะ! เดินอีกสัก 20-30 เมตร คงจะถึงห้องน้ำแล้ว พอเดินไปใกล้จะถึงมุมเลี้ยวหักศอกขวา ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดคุยแว่วๆมาก็ดีใจ พอเลี้ยวขวาเห็นหนทางอีกไกลมากๆก็ชะงัก อะไรวะ! ทำไมห้องน้ำสร้างไว้ไกลมากขนาดนี้ เรามาถูกทางหรือเปล่า กลุ่มวัยรุ่นที่เดินสวนทางมาเห็นเรายืนลังเลอยู่ ก็พูดว่า " พี่มาถูกทางแล้วค่ะ เมื่อกี๊หนูก็มีคำถามเหมือนกัน " เราหัวเราะแล้วก็ตอบขอบคุณไป

ทางเดินนี้สัก 20-30 เมตรน่าจะได้
                
เลี้ยวขวาอีกประมาณ 30 เมตร มีประตูลิฟท์อยู่ขวามือ
(ถ่ายรูปย้อนทาง)

ผ่านหน้าลิฟท์มาสุดทางแล้วเลี้ยวขวาอีก ประมาณ 10 เมตร

ถึงหลักชัยค่ะ!
           

     งานหาห้องน้ำคราวนี้ได้ความตื่นเต้นพอๆกับเข้าวัดไปหาศาลาจัดงานศพเลย เร้าใจสุดๆ  มีเราอยู่คนเดียว จะเข้าห้องน้ำก็กลัวถูกจี้ ลองชะโงกหน้าดูเห็นมีแม่บ้านยืนเช็ดอ่างล้างมือ เราจึงสมใจได้เข้าห้องน้ำไประบายความอัดอั้นเสียที...
ยังค่ะ ยัง เรื่องไปงานศพคราวนี้ยังไม่จบง่ายๆ ยังมีต่อ...


Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สัตว์ไม่ได้เลี้ยงของฉัน

     ตั้งแต่เข้าหน้าร้อน( เมษายน 2559) ร้อนจนสติแทบแตกนี่ เราต้องอพยพตัวเองและทรัพย์สินส่วนตัว อันมีแก้วกาแฟ 1 แก้วน้ำชา 1 หนังสือพิมพ์ 1 ขวดน้ำดื่ม1 ออกมานั่งนอกบ้านแทน พอจะกินข้าวค่อยกลับเข้าบ้าน
     ด้วยเหตุนี้เองเราจึงได้พบปะกับสัตว์ไม่ได้เลี้ยง แต่ขยันเข้ามาในบ้านเราจนได้ นั่นคือ นกเขาชวา

ที่หันหน้ามานั้นคือ เจ้าหนุ่มแม๊กซ์ (ไม่ใช่ผู้เขียน)


     บ้านเราเลี้ยงน้องหมา 4 ตัวและปลาในคลองหลังบ้าน ความที่หลังบ้านมีต้นไม้หลายต้น เช่นมะม่วงอยู่ซ้ายสุด มะพร้าว 2 ต้นอยู่ตรงกลาง ขวาสุดเป็นต้นขนุนใหญ่มาก(ของข้างบ้าน) ถัดจากคลองไปก็เป็นหลังบ้านคนอื่น มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นพอกัน จึงมีนกมาอาศัยทั้งบนต้นไม้และซอกหลังคาบัาน ตามแต่มันจะเสาะหาได้

คู่นี้มาเดินหาอาหารปลากิน (มักจะหล่นอยู่ตามพื้น)

คิดว่าเป็นนกกางเขน ตอนแรกมา 1 ตัว ต่อมาก็เป็น 2 ที่มาเดินเล่นหลังบ้าน

     นกบางครอบครัวสร้างรังที่ฐานเหล็กวางเครื่องคอมเพรสเซอร์ อีกครอบครัวก็สร้างรังที่กล้องวงจรปิดนอกบ้าน บางกลุ่มก็ไปนอนบนกันสาดระเบียง กิ่งไม้ก็หาแถวหลังบ้านเรานี่เอง คนในบ้านนั่งเล่นหรือทำงานอยู่หลังบ้าน มันก็ไม่สนใจ ทำเดินไม่รู้ไม่ชี้ช่วยกันเลือกกิ่งไม้ใบหญ้าเศษใบไม้แห้งแล้วคาบไปสร้างรังตามสบายเหมือนบ้านตัวเอง
         เมษายน 59 มีนกเขาตัวหนึ่งใจกล้ามาก เดิน (ขอย้ำว่า เดินจริงๆ) เข้ามาทางประตูหน้าบ้านแล้วเดินไปกินอาหารเม็ดของน้องหมา (เราวางใส่ถ้วยเล็กๆไว้ให้) หมาไม่ว่าอะไร นกเลยคิดเองว่าควรมาทุกวัน
น้องๆที่นั่งอยู่หน้าบ้านบอกว่า เห็นมาได้ทุกวัน ตอนนี้เพิ่มรอบเข้ามาในบ้าน 2-3 ครั้ง จนเราเริ่มเห็นมันในบ้านบ่อยขึ้น 
ต่อมามันได้ใจชวนเพื่อนนกมาอีกตัว แต่ครั้งนี้เสียหน้าเพราะอาหารเม็ดหมดถ้วย ไม่มีใครเติม เจ้านกเขาก็เดินวนเวียน เมียงๆมองๆหาอาหารเม็ด เดินอยู่หลายรอบแล้วก็พากันเดินออกไป (เรานั่งดูนกจากโต๊ะกินข้าว) ตอนเย็นเล่าให้น้องฟัง น้องบอกว่าเจ้านก 2 ตัวยังพากันมาหาอาหารเม็ดอีกหลายหน

อาหารเม็ดไปไหน

แล้วน้ำแดงมาจากไหน

เดินหาอาหารเม็ด

     ถัดมาอีก 2-3 วัน เรากลับจากซื้อของ หอบของจะเข้าบ้าน เจอนก 3 ตัวกำลังเดินสำรวจถ้วยอาหารเม็ดที่มีเหลืออยู่ 2-3 เม็ด (เจ้าแม๊กซ์คงกินหมดแล้ว) เรายืนนิ่งดูว่ามันจะทำอะไรต่อ เจ้า 3 ตัวก็เดินลอดใต้โต๊ะใต้โซฟา สำรวจที่นอนของน้องหมา เราเลยว่า เฮ้ย! เจ้าของบ้านมาแล้ว มันก็ตกใจ รีบหาทางออกจากบ้าน  เราหลบทางให้ มันก็บินออกไปเดินเล่นที่สนามหน้าบ้านต่อ 


เจ้านก 3 ตัวเดินสำรวจบ้าน

งงค่ะ ทำไมอาหารเม็ดหมด


     ล่าสุดเห็นมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้าน 4 ตัวยังไม่กล้าเดินเข้ามาทั้งหมด เพราะมีคนนั่งอยู่ที่โซฟา มันเลยแค่มาเดินเมียงมองรอจังหวะ เจ้าดีดี้ชักรำคาญแล้วมั้ง (ปกติมันไม่ค่อยเห่าไล่นก) เห็นมาหลายตัวจึงเห่าไล่ให้นกตกใจนิดหน่อย ก็พากันบินกระเจิงไป
   เข้าใจว่า เจ้านกเขาตัวแรกคงไปโฆษณาชวนเชื่อว่า มาบ้านเราแล้วมีข้าวกินฟรีทุกมื่้อ เพื่อนนกถึงค่อยๆเพิ่มมาทีละตัว อย่ากระนั้นเลย เห็นทีจะต้องปิดประตูมุ้งลวดเสียแล้ว ไม่อย่างงั้นมันต้องชวนกันมาเป็นโขยงแน่ๆ 

เข้าหน้าบ้านไม่ได้ พวกนกก็มาเดินหลังบ้านแทน

 นี่แหละ โบราณถึงว่าได้คืบจะเอาศอก!

Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ





วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

ไทยเที่ยวพม่า ตอน: เดินตลาดสดพบ(แป้ง)ทานาคาแล้วพากันไปพิพิธภัณฑ์

บางคนอาจจะสงสัยว่า ไปพม่าทั้งทีไปดูตลาดสดทำไม บ้านไทยก็มี แล้วกะอีแค่แป้งพม่าจะน่าสนใจอะไรหนักหนา มา มา มา มาดูกันเลย จะได้หายสงสัย



ทางเดินนอกตลาดสดขายผลไม้กับดอกไม้สดๆสวยๆ
            เรื่องมันมีอยู่ว่า วันที่ 14 มีนาคม 2558 มีคิวไปปีนเจดีย์สูงเพื่อดูทะเลเจดีย์ของพุกามตอน 9 โมงเช้า ดูเสร็จก็ปีนลงสู่ภาคพื้นดิน จากนั้นเดินทางต่อ ระหว่างทางไกด์หยุดที่ตลาดสดแห่งนี้ ตอนแรกก็จะไม่ดูเพราะไม่รู้จะดูอะไร แต่ก็ต้องลงก่อน เข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์ทานาคาคงยังไม่เปิด ไกด์เลยหาที่ลงให้
พวกเราจึงจำใจเป็นพระยาน้อยชมตลาดไป แต่ก็ดีอย่างเห็นคนค้าขายพืชผักผลไม้ดอกไม้ ของสดของแห้งเพลินๆไป พวกของสดสดมาก สีสันสดใส พืชผลมีขนาดใหญ่ 
(ได้ดูรูปเก่าของพม่าสมัยรัชกาลที่ 5 ตลาดสดของชาวบ้านไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าใด แต่ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า สาวพม่าต้องสูบบุหรี่มวนโต ปัจจุบัน 2559 ไม่เห็นแล้ว)

          นึกถึงสำนวนพระยาน้อยชมตลาด เราได้มีโอกาสอ่านประวัติของท่านโดยย่อว่า คือเจ้าน้อยศุขเกษม ณ เชียงใหม่ไปเดินเล่นในตลาดสดของเมืองมะละแหม่งและได้พบกับหมะเมียะ แม่ค้าบุหรี่ชาวพม่า เกิดรักใคร่ชอบพอกันและได้อยู่กันฉันท์สามีภรรยา เมื่อต้องกลับมาเชียงใหม่เจ้าน้อยก็แอบพาภรรยาชาวพม่ากลับมาด้วย
เรื่องเศร้าเกิดขึ้นเพราะเจ้าน้อยมีคู่หมั้นที่ผู้ใหญ่จัดหาให้แล้ว หมะเมียะกลับพม่าพร้อมคำสัญญาจากเจ้าน้อยว่าจะเดินทางไปรับกลับมาภายใน 1 เดือน เรื่องราวก็เหมือนนิยายเศร้าเคล้านำ้ตาทั่วไป หมะเมียะบวชชีตลอดชีวิต เจ้าน้อยตรอมใจและติดเหล้า เสียชีวิตอายุ 33 ปี


พ่อค้าแม่ค้านำสินค้าผักผลไม้มาวางขายอยู่ริมกำแพง

หน่อไม้สด สวยน่าจิ้มน้ำพริกกินมาก


วางขายกันง่ายๆอย่างนี้แหละ บนพื้นบ้าง กระบุงตะกร้าบ้าง

พืชผักดูสดใสน่ากิน

มะเขือเทศลูกใหญ่ๆ สีแดงแจ่มเลย


               เดินผ่านกองท่อนไม้ก็ไม่สนใจเพราะไม่รู้จัก น้องสะใภ้สนใจหยุดดูและแม่ค้าก็พูดอธิบายอะไรสักอย่างแล้วทาแป้งที่แก้มให้หลานเรา เราถึงรู้ว่าเป็นร้านขายแป้งทานาคา มีหลายแบบหลายขนาด ท่อนไม้ทานาคานั้นซื้อมาพร้อมแท่นเล็กๆเอาไว้ขูดเนื้อไม้เอาผงไม้ทานาคาผสมน้ำแล้วทาหน้าได้ หรือจะซื้อแบบผงใส่ซองบรรจุเสร็จก็มี แบบใส่ตลับกลมก็มี
แม่ค้าช่วยทาแป้งทานาคาให้หลาน


ไม้ท่อนๆที่เห็นคือท่อนไม้ทานาคา เอามาทำแป้งทาหน้า
  จากนั้นก็ไม่มีอะไรจะดูแล้ว มองหารถตู้ของเราเจอก็เดินกลับรถไปนั่งรอเวลาไปพิพิธภัณฑ์ทานาคา   (งานนี้มีเรื่องเล่าน้อย เพราะต้องอ่านจากคำอธิบายภาพสั้นๆเอาเอง ดังนั้นจึงใช้รูปเล่าเรื่องตามเคย)

พิพิธภัณฑ์ทานาคาหนึ่งเดียวในโลก

ไม้ทานาคาจากเขตต่างๆ (เราดูแล้วก็เหมือนๆกัน แยกไม่ออก)

กล่องใส่เครื่องเพชร สวยงามไม่เหมือนกัน
          ดูๆไปต้นทานาคานี่มีชาติตระกูลนะ ไม่ใช่ไม้ธรรมดา แต่ใช้เป็นเครื่องหอมทำสักการะและเป็นเครื่องประทินโฉมสาวชาววังด้วย
แท่นหินขนาดเล็กไว้พกพาติดตัวไป (คงเหมือนตลับแป้งผัดหน้า) เวลาจะใช้แป้ง ก็หยิบไม้ทานาคามาฝนกับแท่น

แท่นหินสำหรับหมอยา

แท่นหินของชาววังพร้อมไม้ทานาคา พอจะใช้ก็หยิบไม้ทานาคามาฝนกับแท่นหิน

ภาพวาดแสดงคุณค่าของไม้ทานาคาว่าเป็นของสูงค่า สำหรับถวายชาววัง

แท่นหินของชาววังมีลดวลายสวยงาม

ประทินโฉมชาววัง



รูปวาดแสดงการถวายไม้ทานาคา

แป้งทานาคาในตลับกลม สีสันหลากหลาย

ต้นไม้ทานาคามีหลากหลายสายพันธู์ หาได้ในบางเขตพื้นที่

                 

 
ดินที่เหมาะสมในการปลูกต้นทานาคา
            ตลอดเวลาที่ท่องเที่ยวอยู่ในพม่า ก็เห็นชาวพม่าทั้งชายหญิงทาแป้งทานาคาเป็นเรื่องทั่วไป เราก็เลยทาแป้งบ้าง แต่ทาบางๆไม่กล้าทาเป็นปื้นอย่างที่เห็นเขาทากัน ยังเขินอยู่จ้ะ!

เด็กๆพม่าแต่มี 1 เด็กไทยแทรกอยู่  คนไหนรู้ไหมเอ่ย

Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

วัดปากน้ำโจโล้

วันเกิดทั้งทีไปเที่ยวที่ไหนดีหว่า ว่าแล้วก็ถามเฮียกู(เกิล) ถามหาวัดน่าเที่ยวของจังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องจากเราอยู่สมุทรปราการจะไปเที่ยวที่ไหนที่สามารถไปกลับได้ภายใน 1 วัน ก็มีฉะเชิงเทรานี่แหละ สะดวกสุด! (ไม่ได้พิมพ์ถามเฮียกูละเอียดขนาดนี้หรอกนะ คิดได้ไง ฮ่า ฮ่า)
        เฮียกูส่งมาให้หลายวัดเลย แต่เราไปเที่ยวมาตั้งหลายวัดแล้ว ไม่ต้องรอวันเกิดก็ได้ มองๆรายชื่อวัดพร้อมภาพประกอบเล็กน้อยก็ไปสะดุดตาโบสถ์สีทอง น่าสนใจแฮะ ทำไมมีโบสถ์สีทองคำอร่ามตาอยู่ที่ฉะเชิงเทราด้วย เรานึกว่าอยู่ทางเหนือเสียอีก อย่ากระนั้นเลยจำเราจะต้องหาแผนที่ดูจุดที่ตั้งสักหน่อย โป๊ะเช๊ะ! ห่างบ้านเราแค่่ 90 กม.ประมาณชั่วโมงครึ่งเท่านั้น


        สายๆก็ออกรถฉิวไปขึ้นทางด่วนกาญจนาภิเษกแล้วต่อไปทางด่วนบูรพาวิถี จากนั้นลงที่บางวัวเพราะคิดว่าจะไปทางลัดที่น้องชายเคยพาไปวัดหลวงพ่อโสธร เอาเข้าจริงเราจำซอยที่ต้องเลี้ยวไม่ได้ พอขับเลยซอยแล้วค่อยคุ้นตา ก็ต้องเลยตามเลย ขับไปทางสะพานบางปะกงแล้วเลี้ยวซ้ายไปฉะเชิงเทรา จ๊ะเอ๋! ฝุ่นแดงคลุ้งเลยค่ะท่าน เขากำลังทำถนนค่ะ เราก็ขับต่อเพราะไม่รู้จะเลี้ยวหลบไปไหน ขับกินฝุ่นแดงๆไปเรื่อยๆ ขับตามเนวิเกเตอร์ไป (กลัวมันพาออกเขมร แต่คิดว่าอาศัยดูป้ายบอกทางด้วยน่าจะไปถึงวัดได้)
          สรุปว่าใครเคยไปวัดสมานฯก็ไม่หลงหรอก เพราะไปทางเดียวกัน ไปให้ถึงบางคล้าก็แล้วกัน ผ่านเข้าตัวอำเภอเลย อาศัยดูป้ายและฟังเนวิเกเตอร์บ้าง ก็ไปถึงจนได้


เลี้ยวรถป๊าบ! นี่คือภาพที่เห็นเป็นภาพแรก


ถัดเข้าไปจึงมองเห็นโบสถ์สีทองกระจ่างตาเลย เราขับรถเข้าไปจอดใกล้ๆได้ เพราะไม่มีรถมาจอดมาก
ลงจากรถมาชื่นชมความงามกัน แม่กับน้องถูกใจมาก  แดดร้อนเหลือเกินแต่ยิ่งทำให้โบสถ์สวยมาก
เราตะลุยถ่ายรูปทันที ลืมใส่หมวก ร้อนจนแสบหน้า


ป้ายบอกประวัติวัดปากน้ำโจ้โล้
                                                                                                 
ท้าววิรุฬหกมหาราช ทิศใต้
ท้าวธตรฐมหาราช ทิศตะวันออก
                                         

ประตูเข้าโบสถ์
พัทธสีมา

เขตพัทธสีมา

พระประธาน
         กราบพระประธานแล้วก็ถ่ายรูปอีก คิดว่าหมดแค่นี้ ปรากฏว่าน้องสาวเดินลึกเข้าไปถึงฐานพระ สามารถเดินลอดฐานได้ ใต้ฐานเป็นห้องเล็กๆ มีรูปปูนปั้นสีทองเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า                                              
 





ด้านข้างโบสถ์ อยู่ติดริมแม่น้ำ


ด้านข้างโบสถ์ติดริมถนน


ทางขึ้นด้านข้าง

คุณแม่
 โบสถ์สวยละลานตาเหลือเกิน ถ่ายรูปเท่าไหร่ก็ไม่พอ รู้สึกว่าของจริงดูด้วยตาสวยกว่ามากๆเลย
คุณน้อง

เจ้าของวันเกิด
มัวแต่มองความสวยของโบสถ์ ลืมตั้งสติระลึกถึงพุทธคุณ มาคิดได้ภายหลังว่า นอกจากความงามที่ประทับใจมากๆแล้วเราไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังเหมือนทุกทีเลย งั้นขอบอกอย่างนี้ว่า วัดปากน้ำโจ้โล้สวยประทับใจจริงๆ ลักษณะงานปั้นสวยสมบูรณ์จนคิดว่าไม่น่าจะใช่งานช่างท้องถิ่น รีบๆไปเที่ยวนะ ก่อนที่ความงามของวัดจะสูญสลายไป

Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ