วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

ไทยเที่ยวพม่า ตอน พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเมียนมาร์ 11-16 มีนาคม 2558 เกือบทั้งครอบครัว ขาดน้องคนเล็กไป 1 คน (ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านไงล่ะ) 



       เหมือนย้อนเวลากลับสู่เมืองไทยเมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้ว เวลาเราเดินทางไปต่างจังหวัด เมื่อพ้นเขตเมือง ถนนหนทางก็กลับกลายเป็นดินแดงๆ มี 2 เลน มีร้านค้าแบบกระต๊อบเรียงรายเป็นช่วงๆ (พม่าใช้พวงมาลัยรถขวาและขับชิดขวา) ต้นไม้มีอยู่มาก อากาศร้อน แดดแรงแต่ชุ่มชื้นไม่ทรมานมาก (ส่วนใหญ่นั่งอยู่ในรถตู้ติดแอร์ ตอนเดินทางจะไม่ค่อยรู้สึกร้อน แต่พอลงรถเพื่อเดินเข้าวัดต่างๆล่ะ ร้อนวาบเลย เพราะต้องเดินเท้าเปล่า)

5 คืน 6 วันที่ท่องเที่ยวอยู่ในพม่า (เมืองย่างกุ้ง พุกาม มัณฑะเลย์) สนุกและเหนื่อยไปตามวัย 
เจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง
มีเรื่องราวน่ารู้น่าเล่าให้ฟังเยอะ ไกด์พม่ามีความรู้และมาเรียนที่เมืองไทยด้วย รู้จักคนไทยและนิสัยแปลกๆของคนไทยดีมาก 
 

          เราจะไม่เล่าเรื่องการเดินทางเรียงตามวันที่ แต่จะเล่าเรื่องจากความประทับใจมากกว่า เริ่มกันที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง (ไปนมัสการตอนค่ำวันที่ 12 มีนาคม 2558)

            ไกด์พาไปพระมหาเจดีย์ชเวดากองตอนค่ำๆ เพราะโดยรอบองค์เจดีย์เป็นพื้นหินอ่อน ร้อนมาก ถ้าไปกลางวันจะเดินไม่ได้เลย (ต้องเดินเท้าเปล่าเท่านั้น ห้ามใส่ถุงเท้าด้วย)

ติดสติกเกอร์สีน้ำเงินค่าผ่านประตูไว้กับตัวด้วย
   ก่อนอื่นจ่ายค่าผ่านประตูและรับสติกเกอร์มาติดตัวไว้ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน เดินผ่านสะพานเชื่อมก่อนเข้าเขตวัด มองเห็นยอดเจดีย์และวิหารรายรอบอลังการด้วยสีทองวาววับไปหมด ไกด์พาเข้าทางประตูทิศตะวันออก (ประตูมี 4 ทิศ) เวลากลับก็กลับทางเดิม (เป็นความคิดของไกด์เองที่ต้องการให้เกิดศิริมงคลแก่พวกเรา เหมือนมากับตะวันและกลับกับตะวัน มีแต่ความสุกสว่างรุ่งเรือง)

 
แผนที่บริเวณรอบองค์เจดีย์
สิ่งก่อสร้างในเขตวัดส่วนใหญ่เป็นไม้เกือบทั้งหมด จึงต้องมียามรักษาการณ์ 24 ชั่วโมง ป้องกันเหตุไฟไหม้ 

บริเวณลานนมัสการ
วิหารตรงข้ามประตูทางเข้าแต่ละทิศ
ซุ้มพระพุทธรูป

เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว จะรู้สึกตาลายเพราะสีทองอร่ามตา มีพุทธศาสนิกชนเดินกันเต็มลาน บางกลุ่มก็นั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ คนมากมายแต่เราแทบไม่ได้ยินเสียงพูดคุย บรรยากาศนิ่งสงบและศักดิสิทธิ์จนรู้สึกสัมผัสได้ รู้สึกว่ามีแต่สิ่งดีงามอยู่รอบๆตัวเรา (จนไม่กล้าคิดเรื่องไม่ดี) พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ตามซุ้มและวิหารรอบเป็นองค์ใหญ่และสวยงาม ไกด์เลือกพาเดินชมและให้แวะนมัสการเป็นบางแห่ง  เพราะบริเวณวัดกว้างขวางมาก มีวิหารและซุ้มพระพุทธรูปสวยงามเยอะแยะ (ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปเดินดูอีก เพราะไม่ได้ดูโดยละเอียดได้แต่เดินผ่านไป)
ไหว้พระประจำวันเกิดที่อยู่รอบๆองค์เจดีย์
ตอนก่อนเข้าวัดเราแวะซื้อดอกไม้ ธูปเทียน ไกด์สอบถามวันเกิดของแต่ละคน แล้วพาเดินไปไหว้พระประจำวันของแต่ละคน ระหว่างทางก็แวะดูรูปปั้นและมุมมองยอดเจดีย์ชเวดากอง
ยอดเจดีย์ชเวดากองเป็นเพชรเม็ดใหญ่ มีจุดตั้งกล้องให้ส่องดูเพชร แต่ไกด์เราพาไปดูตรงจุดที่มองด้วยตาเปล่าได้

ยอดมหาเจดีย์ชเวดากอง (ถ่ายรูปจากรูปที่เขาจัดแสดงไว้)
ขอเล่าเรื่องไหว้พระประจำวันเกิดต่อ เมื่อไหว้พระเสร็จแล้วเอาดอกไม้ไปแขวนถวายที่องค์พระพุทธรูป จากนั้นให้ตักน้ำสรงพระตามจำนวนอายุ (เราตักจนเมื่อยมือ) ส่วนสิงโตและเทวดาที่อยู่ตรงองค์พระให้รดน้ำอย่างละ 1 ขันเท่านั้น (ไม่ต้องแถมนะจ๊ะ)



เจดีย์ชเวดากององค์แรกสร้าง
เจดีย์ชเวดากององค์ปัจจุบัน
ประตูเฉพาะชาวพม่าเท่านั้น



เดินมานานชักเมื่อย ไกด์พามานั่งตรงหน้าเจดีย์องค์หนึ่ง เมื่อเหลียวไปทางขวาจะเห็นเจดีย์ชเวดากอง  ไกด์เล่าว่า เจดีย์ที่เห็นอยู่นี้คือ เจดีย์ชเวดากององค์แรกที่พ่อค้าชาวมอญสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระเกศา 8 เส้นที่พระพุทธเจ้าประทานให้และตรัสว่า เจดีย์ชเวดากองนี้จะได้รับการบรรจุสิ่งของของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ (องค์สุดท้ายในอนาคตคือ พระศรีอริยเมตไตรย)
พ่อค้าทั้งสองนำเส้นพระเกศากลับมาที่พม่า แต่ไม่รู้ว่าจะสร้างเจดีย์ที่ไหน เทวดาจึงมาเข้าฝันและชี้ทางให้ พ่อค้าจึงสร้างเจดีย์ชเวดากององค์แรกขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ปรากฎว่าไม่ใช่สถานที่ที่ถูกต้อง เทวดาจึงมาชี้ทางให้ใหม่ ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร  พ่อค้าจึงสร้างเจดีย์ชเวดากององค์ปัจจุบันขึ้นมา (ส่วนเทวดาที่มาเข้าฝันชี้ทางคือ เทพทันใจประจำเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง)

Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ


เทพทันใจประจำมหาเจดีย์ชเวดากอง


เรื่องหนึ่งที่ไกด์พูด(ภาษาอังกฤษผสมไทย) ได้ประทับใจมาก (แปลสรุปเอานะจ๊ะ) ว่า พุทธศาสนิกชนที่มีโอกาสมานมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากองนี้ มีจำนวนไม่มากนัก เพราะจะต้องมีความพร้อมทุกประการ ถือเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง ที่มีโอกาสมานมัสการด้วยตัวเอง มองเห็นด้วยตา มีแขนขากำลังวังชาบริบูรณ์ มีเวลา มีเงิน มีสุขภาพแข็งแรง (เพื่อทีจะมาเดิน มานมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง) พุทธศาสนิกชนอีกมากมายไม่มีโอกาสมานมัสการ อาจเนื่องด้วยมีเงินแต่ไม่มีเวลา มีเงินมีเวลาแต่เดินไม่ไหวหรือตามองไม่เห็น มีสุขภาพแข็งแรงดีแต่ไม่มีเงิน ฯลฯ

พระพุทธรูปในซุ้มที่เรียงรายรอบเจดีย์

พระพุทธรูปในวิหารที่อยู่ตรงข้ามประตูทิศ
ฟังแล้วปลื้มใจ อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสมานมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง แต่เผื่อใครยังมาไม่ได้ ก็ขอให้ร่วมอนุโมทนาบุญและดูรูปไปพลางๆก่อน (ความจริงอยากจะถ่ายรูปให้มากกว่านี้ แต่ความสวยในรูปไม่ได้อย่างตาเห็นเลย มองด้วยตาเปล่ามองไปทางไหนก็สวยจับใจไปหมด จนเลิกถ่ายรูปไปเอง) และขออาราธนาคุณพระรัตนตรัยอำนวยอวยพรให้ทุกคนประสพแต่ความสุขความเจริญ มีสติปัญญานำทางไปสู่อนาคตอันดีงามด้วยเทอญ
                  

                                           




วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

เล่าข่าวโหดจากอดีต - 1873

ข่าวโหดที่อ่านแล้วเย็นสันหลังวาบสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องพักค้างอ้างแรมในที่พักเปลี่ยวๆเมื่อเดินทางไกล

พาดหัวข่าว " German Family Robbed, Raped and Slew Wayfarers " ครอบครัวคนเยอรมันปล้นข่มขืนฆ่าคนเดินทาง
โรงแรม The Benders ที่ผู้เดินทางถูกฆาตกรรมไปกว่า 20 คนและทรัพย์สินมูลค่าหลายพันดอลล่าร์ถูกขโมยไป 

คดีโหดนี้เกิดที่รัฐแคนซัส ในโรงแรมโดดเดี่ยวที่น่าจะเรียกว่า กระต๊อบ มากกว่า ตั้งอยู่ในทุ่งแพรรี่ใกล้หุบเขา Cherryvale โรงแรมนี้ใช้ม่านผ้าใบเนื้อหยาบกั้นแบ่งห้องส่วนหน้าแยกห้องนอนห้องอาหารสกปรกให้อยู่ทางด้านหลัง ผู้มาพักจะถูกจัดให้นั่งกินอาหารบนม้านั่งยาวและหันหลังให้ผ้าม่าน
ถ้าลูกค้าเป็นคนแปลกหน้าเดินทางสู่ตะวันตก ลูกสาววัยรุ่นของนายโจฮันน์ เบนเดอร์ส ชื่อ เคท จะเข้าไปชวนพูดคุยแล้วจู่ๆก็จะร้องขึ้นว่า " เอาเลย! " เสียงร้องนี้เป็นสัญญาณให้คนพ่อหรือพี่ชายเหวี่ยงค้อนใส่ม่านซัดกระโหลกลูกค้าจนแตกตาย จากนั้นสาวเคทก็ร่วมมือกับครอบครัวน่าขยะแขยงของหล่อน ช่วยกันลากศพลงไปในหลุมหลบพายุทอร์นาโดใต้ตัวอาคาร อันเป็นที่ปล้นลอกคราบศพ
เมื่อ 3 ปีก่อน พวก Benders เอาศพเหยื่อไปทิ้งในทุ่งแพรรี่เอาดื้อๆ แต่พอมีกฏหมายห้ามทิ้งทรากวัวควายโดยไม่กลบฝังแล้ว ถ้ามีกลุ่มนกแร้งมารวมตัวกันก็จะกลายเป็นภาพที่ผิดปกติ พวก Benders จึงฝังศพไว้รอบโรงแรมแทน
ปีนี้ 1873 อดีตนายพันเอกกองทัพบก ทหารพราน ได้ออกติดตามหาน้องชายที่หายตัวไประหว่างการเดินทาง ครอบครัวอำมหิตนี้ทำให้ผู้พันหมดข้อสงสัยได้  แต่พวกเขาเองกลับตกใจกลัวและหลบหนีไป การหายตัวไปของทั้งครอบครัวทำให้คนของผู้พันขุดค้นหาในที่ดินและภายในหลุมหลบพายุพบศพของคุณหมอผู้เป็นน้องชายผู้พันและลูกสาวแสนสวยตัวน้อย เธอถูกสองพ่อลูกชายข่มขืนก่อนถูกจับโยนลงหลุมศพเดียวกับพ่อทั้งที่ยังมีชีวิต นอกจากนี้ยังขุดพบศพอีก 9 ศพในหลุมนรกนั้น
กลุ่มคนของผู้พันรีบขี่ม้าติดตามครอบครัวปิศาจนี้ไปแต่แจ้งว่าตามไม่พบ
อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่ากองทหารพรานที่เก่งที่สุดของภาคตะวันตกเฉียงใต้ตามจับพวกชั่วร้ายกลุ่มนี้ได้แล้วและจัดการสำเร็จโทษพวกอำมหิตในทันทีและอำพรางศพไว้

หมายเหตุ: เรื่องที่พักอันตรายนี้จำได้ว่า Hollywood เอาไปเขียนบทเพิ่มเติมให้สยดสยองยิ่งขึ้นและสร้างภาพยนต์ใช้ theme เรื่องนี้ออกมาอีกหลายเรื่องเลย

Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

เล่าข่าวโหดจากอดีต - 1908

เราซื้อหนังสือ " The Chronicle of Crime " by Martin Fido จากอังกฤษ เป็นหนังสือรวมบันทึกข่าวอาชญากรรมในอดีตตั้งแต่ปี 1800-2002 หลายๆข่าวอ่านแล้วทำให้รู้ทันทีว่าเป็นที่มาของหนังสือและภาพยนต์แนวสืบสวนและสยองขวัญในเวลาต่อมา
     
          เรื่องแรกที่นำมาแปลสู่กันอ่านคือเรื่อง " แม่ม่ายดำ"- 1908 (พาดหัวข่าวว่า "Widow Advertised for Husbands-Killed Forty") เราพยายามถ่ายรูปให้ชัดที่สุดแล้ว เผื่อใครอยากจะขยายภาพอ่านข่าวโดยละเอียด

 "Widow Advertised for Husbands-Killed Forty"
Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

       " แม่ม่ายลงประกาศหาผู้มาเป็นสามี-ฆ่าไปแล้ว 40 คน " ต้นเหตุเกิดจากเหตุไฟไหม้ฟาร์มแท้ๆแล้วมีผู้รอดชีวิต 1 คนเป็นลูกจ้างในฟาร์ม เด็กๆ 4 คนตายอยู่ในห้องใต้ถุนและมีศพไร้ศีรษะ 1 ศพ คาดว่าเป็น Mrs. Belle Gunness เจ้าของฟาร์ม เพราะมีฟันปลอมของเธอตกอยู่ใกล้ๆศพ  เมื่อตกเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจ ก็ต้องถูกสอบสวนเป็นธรรมดา หลังถูกควบคุมตัวลูกจ้างนายนี้ก็บอกให้ตำรวจไปขุดรอบๆเล้าหมูของ Mrs. Belle Gunness
       ตำรวจขุดพบศพชาย 14 ศพ ซึ่งลูกจ้างบอกว่าแม่ม่ายเจ้าของฟาร์มฆ่าคนไปราวๆ 42 คนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งฆ่าลูกสาวบุญธรรมอายุ 14 ปีของเธอเองด้วย เพราะไปเล่าให้ผู้ดูแลฟังเมื่อปี 1904 ว่าเห็นแม่เอามีดปังตอทุบสมองพ่อ แต่ทาง Mrs. Belle Gunness เล่าไปอีกทางว่า เครื่องบดเนื้อตกจากชั้นวางของใส่ศีรษะของสามี
       แม่ม่ายสามีตายลงประกาศหาคู่ครองมาช่วยทำงานหาเงินเพื่อใช้หนี้เงินกู้ซื้อฟาร์ม ผู้ชายที่สนใจก็นำทรัพย์สินของตัวเองมาเกี่ยวดองด้วย แม่ม่ายดำไม่รอช้าจัดการกำจัดบรรดาสามีใหม่ทันที ทั้งวางยาในกาแฟ ทั้งมอมยาสลบแล้วจบชีวิตให้ด้วยมีดปังตอ
       ไม่นานก็เกิดเรื่องมีน้องชายคู่ครองคนหนึ่งมาตามหาพี่ชายที่หายไป เธอตกใจกลัวมาก รีบเขียนพินัยกรรมและชำระเงินกู้ จากนั้นก็เกิดไฟไหม้ขึ้น
        แม่ม่ายอ้วนตุ๊ นิสัยดุร้าย หน้าตามอมแมมจะตายในกองไฟจริงล่ะหรือ? ร่างไร้ศีรษะที่ถูกเผาไหม้ พบเพียงฟันปลอมวางอยู่ใกล้ๆ มีขนาดส่วนสูงเตี้ยกว่า Mrs. Belle Gunness ประมาณ 5 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 50 ปอนด์เท่านั้น และไม่ได้ตายเพราะถูกไฟคลอกแต่ถูกวางยาพิษ
        เข้าใจว่าเธอคงไปล่อลวงผู้หญิงจรจัดให้เข้ามาในบ้านแล้วฆ่าเสีย เพื่อปกปิดการหลบหนีของตัวเองและหนีไปครอบครองทรัพย์สมบัติอยู่่ที่ไหนสักแห่งในเวลานี้
        
        เป็นเรื่องราวการฆ่าชิงทรัพย์เพื่อความอยู่รอดของตัวเองนั้นแหละ แต่ฆ่าคนตายมากจนน่าแปลกใจที่ไม่มีใครสงสัยว่า ทำไมเธอลงประกาศหาคู่ครองบ่อยจัง? 

สวัสดีปี 2558 ตอน: จัดตู้หนังสือใหม่


           ย้ายบ้านมาประมาณ 5 ปี สะสมหนังสือชุดใหม่ไว้เพียบเลย ไม่ซื้อตู้หนังสือใหม่เพิ่ม(เพราะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ไหน) จึงต้องเก็บวางอัดหนังสือไว้ตามลิ้นชักต่างๆ ชั้นวางของก็เอาวางหนังสือแทน ตู้เก็บของก็ส่งหนังสือเข้าไปอยู่ด้วย ตู้วางโทรทัศน์ก็มีแต่หนังสือวางซับวางซ้อนจนจำไม่ได้ว่า ซื้อหนังสืออะไรมาบ้าง? อ่านค้างไว้กี่เล่ม? และที่คาดว่าจะอ่านซ้ำอีกเท่าไหร่?
           ไหนๆจะซื้อตู้เตียงใหม่แล้ว ก็ซื้อตู้หนังสือไปด้วยเลย จะได้จัดระเบียบหนังสือใหม่สักที (สงสารหนังสือดีๆไปกองสุมซุกซ่อนเอาไว้ทำไม?) เวลาหาข้อมูลอ้างอิงทำงานจะได้หาง่าย

ทำความสะอาดหนังสือก่อนเรียงเข้าตู้
หนังสือบางเล่มที่อ่านค้างไว้แล้วหาไม่เจอ
ตอนรื้อหนังสือออกมาวางกองรวมกันไว้นี่นะ ทั้งดีใจและเศร้าใจมาก ที่ดีใจมากเพราะเจอหนังสือที่ซื้อไว้แล้วไม่ได้อ่านและอ่านยังไม่จบ ส่วนที่เศร้าใจก็คือหนังสือถูกฝุ่นเกาะกัดติดเล่ม ปัดไม่ออก เช็ดไม่ออก ดูดฝุ่นก็ไม่ออก กลายเป็นหนังสือเก่าไปเลย ที่เด็ดสุดคือไปเจอหนังสือที่ซื้อจากลอนดอนอีกหลายเล่ม (แต่ตัวเองดันลืมเสียได้)
หนังสือเกี่ยวกับอาชญากรรมและอาชญากร
Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ
            หนังสือจากลอนดอนชุดนี้ซื้อเพราะข้อมูลและเนื้อหาน่าสนใจมาก เป็นเรื่องวิเคราะห์อาชญากร การคาดเดาบุคลิกลักษณะของผู้ต้องหา(Cracker) และรวมเรื่องราวคดีดังที่จับคนร้ายได้ เล่มที่ชอบที่สุดคือ " The Chronicle of Crime " เป็นการรวบรวมข่าวอาชญากรรมตั้งแต่ปี ค.ศ.1800-2002 ข่าวหลายเรื่องถูกนำมาเขียนเป็นเรื่องสั้นแนวสยองขวัญและนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ เอาไว้ว่างแล้วจะคัดแปลมาให้อ่านสัก 2-3 เรื่อง พอเป็นแนวให้รู้ว่ามีหนังสือและภาพยนต์ที่ใช้ Theme เรื่องจากข่าวอาชญากรรมย้อนอดีตเหล่านี้จริงๆ

Cr ภาพโดยวาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

สวัสดีปี 2558 ตอน: จัดห้องนอนใหม่


          ปลายปี 2557 ตั้งใจว่าจะซื้อของขวัญให้ตัวเองสักหน่อย วางแผนมาหลายเดือนแล้วแต่ยังรีๆรอๆอยู่ (เพราะอยู่ระหว่างการซ่อมแซมและต่อเติมบ้าน งบบานปลายเกือบแสน) ไปดูเฟอร์นิเจอร์ที่ห้างฯ 4 แห่งไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ไม่ถูกใจสักที จนวันคริสต์มาสไปอีกครั้งเพื่อสั่งซื้อเสียที (ไม่งั้นอดซื้อแน่นอน) ก็ยังลังเล ขอเดินดูพินิจพิจารณาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง แค่ซื้อตู้เสื้อผ้ากับเตียงใหม่แค่เนี้ย สุดท้ายตัดสินใจซื้อแยกชิ้น ไม่ซื้อเป็นชุดตามที่เขาจัดไว้ให้เลือก(ราคา joy price) พนักงานช่วยเหลือดีมาก เห็นเราเหนื่อยแล้วจึงแนะนำให้ไปหาแผนกออกแบบ เพื่อหาตู้เสื้อผ้าให้เหมาะกับห้องนอนและความต้องการของเรา อีกทั้งยังลองดูว่าเตียงที่เราเลือกซื้อนั้นเหมาะกับห้องหรือเปล่า เราอยากได้ตู้หนังสือใหม่ด้วย น้องคนที่วางแบบให้ก็น่ารัก ช่วยออกแบบให้ทันทีและหาตู้เสื้อผ้า 3 บานให้ตามที่ต้องการ
ห้องนอนที่ใส่เฟอร์นิเจอร์ตามที่คนออกแบบหาให้

       จากนั้นพนักงานขายก็พาเราไปดูตู้เสื้อผ้า และตู้หนังสือของจริงตามที่วางแบบไว้ เราตกลงซื้อเลยเพราะหาจนเบื่อและเหนื่อยแล้ว นั่งรอจ่ายเงินอยู่พักใหญ่ ชักเอะใจ เจอมารผจญอีกหรือเปล่า? พนักงานมาบอกว่าไม่มีสีตู้ที่ต้องการ เราต้องไปเดินดูแบบสีที่มีอยู่ว่าใช้ได้ไหม เดินดูเปรียบเทียบอยู่อีกเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ตัดใจเลือกตู้สีขาว  เตียงสีเทา ตู้หนังสือสี light brown
        วันนั้นออกจากบ้านบ่าย 2 โมง กลับเข้าบ้านทุ่มกว่า นี่ถ้าไม่คิดมากเลือกเฟอร์นิเจอร์ชุดตามที่ทางห้างฯจัดไว้ให้เลือกออกมากมาย ก็เสร็จไปนานแล้ว แต่เราคงจะหงุดหงิดไปอีกหลายปีเลยเพราะซื้อของไม่ถูกใจแต่ถูกเงิน
          ซื้อของขวัญให้ตัวเองคราวนี้เหมือนถูกทดสอบอารมณ์และสติ ความอยากได้กับเหตุผล ประเมินตัวเองว่าสอบผ่านแค่ 70% ส่วนความช่างสังเกตรายละเอียดสินค้าสอบตกสนิท 

หมายเหตุ เราไม่ได้จัดห้องตามที่วางแบบไว้หรอก เพราะตู้เสื้อผ้าสูงมาก (ตอนซื้อลืมมองความสูงของตู้) วางไว้ข้างแอร์ไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่เลือกชุดห้องนอนที่ห้างฯเขาจัด set ไว้ เพราะคิดทบทวนข้อดีข้อเสียแล้ว ถ้ามัวแต่เสียดายราคา joy price และตู้เตี้ย 3 ลิ้นชักที่เขาจัดชุดให้ เราต้องเสียเงินเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 15,000 บาท เพื่อซื้อฟูกและชุดผ้าปูเตียง ผ้ารอง ผ้านวม ปลอกผ้านวม ฯลฯ เพราะชุดห้องนอนที่เขาจัดให้มีแต่เตียงใหญ่ (เราชอบเตียงเล็ก เพื่อให้ห้องนอนมีพื้นที่กว้าง)  อีกอย่างฟูกเก่าของเรารับประกันตั้ง 10 ปี ยังใช้ไม่ถึงเลย สภาพยังดีอยู่มากๆ (สมกับราคาสูง)
   
Cr ภาพและเรื่องโดยวาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับรถใหม่ไปดูรถเก่าที่เจษฎามิวเซียม

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2557
          ไปร่วมทำบุญครบ 60 วันหลังมรณภาพของหลวงลุงบุญสม จรณธัมโม (ท่านพระครูสุธรรมวุฒาจารย์) ที่กาญจนบุรี ประมาณเที่ยงเศษเสร็จงานรวมญาติมิตร เราก็เดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางเห็นว่ายังมีเวลาอีกมาก จึงชวนทุกคนไปดูพิพิธภัณฑ์รถยนต์เก่าแก่ แต่ยังไม่เคยไปหรอก อาศัยดูรูปถ่ายใน facebook ที่เพื่อนๆถ่ายรูปรถแปลกๆมาให้ดู

           ขอบอกว่าเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ลำบากมากกกก... หาพุทธมณฑลสาย 8 ไม่เจอ ดูแผนที่ก็งง  น้องชายจึงใช้เนวิเกเตอร์กูเกิลแม็พ ขับไปตามคำบอก พาเข้าซอยเล็กซอยน้อยซอยแคบ ค่อยๆขับตามกันไป 2 คัน สุดท้ายไปจนมุมที่สะพานวัดไสยาวาส สะพานปิดซ่อม ข้ามแม่น้ำท่าจีนไม่ได้ให้ไปใช้เส้นทางอื่น โอ้ว! พระเจ้าช่วย
           ทำไมไม่เขียนบอกไว้ปากซอยทางเข้าวัดว่าสะพานปิดซ่อม คนอื่นจะได้ไม่เสียเวลาหลงเข้าไป เราต้องกลับรถเชิงสะพานเลี้ยวกลับมาตั้งต้นปากซอยใหม่ ปรึกษากันจะไปทางไหนต่อ น้องชายเริ่มจะถอดใจ น้องสะใภ้ลองตั้งเนวิเกเตอร์ใหม่ เราลงรถไปบอกให้น้องสาวขับตามต่อ (ถึงไม่บอกก็ต้องขับตามอยู่แล้ว ไปไม่ถูกเหมือนกัน โย่ว! โย่ว!) ลองหาทางใหม่ไปกันอีกที (เราเองก็ชักจะหน่ายหน่อยๆแล้ว) สงสารคุณแม่กับคุณน้าจะเมื่อยเพราะนั่งรถนานและขับๆหยุดๆหลายครั้ง
          จากนั้นขับตามเนวิเกเตอร์ต่อไปอีก 5.6 กม. เจอสี่แยกให้เลี้ยวขวาก็ตามกันไป เจอถนนกำลังก่อสร้างก็อึ้งไปไม่ถูก น้องสะใภ้แนะให้ขับไปทางเดียวกับที่มีรถสวนมาจึงไปกันต่อ ข้ามทางรถไฟแล้วเจอรถไฟตั้งแสดงอยู่กับมีป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์ เราก็ดีใจนึกว่าถึงแล้วแต่หาทางเข้าไม่เจอ น้องบอกให้ขับต่อไปอีกหน่อยเราจึงขับช้าๆมองหาป้ายบอกทาง ปรากฎว่าไม่มีป้ายบอกเลยค่ะท่าน แต่จอดเครื่องบินสมัยสงครามโลก(มั้ง?)ไว้ข้างประตูทางเข้า เราก็เลี้ยวเข้าไปจอดข้างประตู เชิญผู้ร่วมผจญภัยลงจากรถแล้วให้น้องชายไปถามหาที่จอดรถจากคนข้างใน เขาบอกให้จอดเลยจากเครื่องบินไป กว่าจะเข้าพิพิธภัณฑ์ไปได้ต้องถอยจอดหลายครั้งเพราะจอดแล้วรถที่จอดด้านในถอยออกไม่ได้ เราต้องขับเข้าๆออกๆเปิดทางให้รถออก อยากจะหงุดหงิดแต่ก็ขี้เกียจ (คิดดูเหนื่อยขนาดไหน!) เดินผ่านประตูเข้าไปมีโต๊ะลงทะเบียนอยู่ซ้ายมือ ไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู พวกเราแยกย้ายไปเข้าห้องน้ำแล้วเริ่มเดินสำรวจสถานที่กัน เฮ้อ!

ขอเรียกว่า "รถเก๋งแถว" ชอบมากจ้ะ
เบาะหนัง 12 ที่นั่ง กว้างขวาง น่านั่ง
Cr ภาพและเรื่องโดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ
แบตตารี่มือถือหมดจึงไม่ได้ถ่ายรูป (ก่อนกลับน้องสาวให้ยืมมือถือถ่ายรูปเก็บไว้บ้าง เดี๋ยวไม่มีหลักฐานประกอบการบ่น) เดินดูไปเรื่อยๆ ส่วนแรกที่เดินไปดูเป็นที่เก็บจักรยาน จักรยานไฟฟ้า จักรยานยนต์ สามล้อ รถเด็กเล่น เก่าดีจ้ะ ฝุ่นบานเลย จอดเรียงอัดแน่นเป็นปลากระป๋อง ไม่มีประวัติให้อ่าน ใครเป็นภูมิแพ้ฝุ่นไม่ควรเข้าไปดู
รถยนต์รุ่นเก่าจอดอยู่ถัดจากที่ลงทะเบียน  หลายคันเป็นรุ่น 40 กว่าปีมาแล้ว ยังพอจำได้ว่าเคยเห็นตอนเป็นนักเรียนประถมต้น
          เดินมาอีกข้างเป็นเหมือนโรงจอดเครื่องบิน ขนาดกว้างขวาง หลังคาสูง มีรถน่ารักๆ สีสดสะดุดตาจอดไว้เพียบ ก่อนเดินเข้าไปจะเห็นรถเก๋งสีน้ำเงินขนาดยาวมากจอดสะอาดเอี่ยมเตะตาจนต้องเข้าไปดูโดยใกล้ชิด
           จากนั้นเดินเข้าไปดูรถเก๋งเก่าแต่รักษาสภาพไว้สวยงามมาก ดูยากนิดนึงเพราะรถจอดชิดกันมาก ได้แต่ดูหน้ารถผ่านๆ ไม่กล้าเดินเบียดรถเข้าไปดูรอบๆคัน
กลุ่มรถบรรทุกเล็ก(จริงๆ)
กลุ่มรถ 3 ล้อ สีสันสดใส (2 ล้ออยู่ข้างหน้า 1 ล้ออยู่ข้างหลัง)
         เดินดูเพลินๆดี รถรุ่นเก่าเราเองก็ยังไม่เกิด มีหลากหลายคัน บางคันใหญ่มหึมา บางคันเล็กกระจิ๋วหลิว ถ้าเอากลับมาใช้ได้ในปัจจุบัน คงเป็นสีสันให้กรุงเทพฯน่าดู
ว่างๆก็น่าไปดูเล่นนะ แต่ตรวจสอบเส้นทางก่อนนะ จะได้ไม่เสียเวลาหลงทางให้เสียอารมณ์หรือชอบผจญภัยก็เตรียมน้ำกับขนมไว้ก็สบายใจดี ไม่มีเซ็ง (เผื่อใครบ่นก็แจกขนมปิดปากเลย หุ! หุ!)

Cr ภาพโดยวาสนาและวีนัส วงศ์ชัยประเสริฐ

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เจอยู่ที่ใจ

พาเที่ยว 2 วัดแล้วชักเหนื่อย พักสักหน่อยดีกว่า คราวนี้รับเทศกาลเจเลย

     ปกติเมื่อถึงเทศกาลกินเจ เราจะไม่ค่อยสนใจ รับประทานทุกอย่างตามสะดวก อีกอย่างอาหารเจราคาแพงแถมไม่อร่อย เราจึงไม่ส่งเสริมเป็นการส่วนตัว เราชอบอาหารมังสวิรัติมากกว่า สะดวก หารับประทานง่าย
     ปีที่แล้ว 2556 เราก็ปฎิบัติตนเหมือนเดิมคือไม่รับอาหารเจ แต่อยากแวะพักเหนื่อยก่อนเข้าบ้านสักหน่อย จึงแวะเมกา บางนา นั่งหน้าร้านรับลมธรรมชาติเหมือนเดิม

Cr ภาพและเรื่อง โดย วาสนา วงศ์ชัยประเสริฐ

     ร้านนี้ขายกาแฟและอาหารอร่อย แต่คุณภาพแต่ละสาขาไม่สม่ำเสมอ (ที่เซ็นทรัลบางนา เราเลิกอุดหนุนไปแล้ว) ที่นี่รสชาติอาหารยังดีอยู่แต่ตามพนักงานยากหน่อย เพราะอยู่กันแต่ในร้านติดแอร์ ไม่ค่อยสนใจลูกค้านั่งโต๊ะหน้าร้าน
       เราสั่งอาหารและเครื่องดื่มหมักในถังเสร็จก็บอกพนักงานให้เก็บธงเจบนโต๊ะออกไปด้วย เธอยิ้มรับแต่ไม่หยิบธงไปด้วย เราก็ไม่ว่าอะไร เธอส่งเครื่องดื่มมาให้ก่อนเราก็บอกให้เก็บธงไปก็แสดงอาการรับทราบเหมือนเดิม เราสั่งน้ำหมักเพิ่มอีกขวดให้เอามาพร้อมอาหารเพราะรู้ว่าถ้าสั่งทีหลังจะไม่ได้สั่ง เนื่องจากถูกพนักงานทอดทิ้ง
     เมื่อได้อาหารครบตามสั่งจึงได้ถ่ายรูปตลกๆ สนองเทศกาลเจมาให้ดูกัน ห้ามเลียนแบบเพราะอาจมีบางท่านตั้งใจ(หวิวๆ)ว่าจะกินเจแล้วเผอิญมาเห็นรูปนี้เข้า จะนำไปอ้างได้ว่าก็ปักธงเจแล้วแสดงว่าเป็นอาหารเจก็ต้องกินได้ซิ อิ!อิ!

     นิทานพักเหนื่อยเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เจอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่ธงเหลืองและถ้าไม่ใช่คนใจเย็นก็ไม่ควรจะไปนั่งที่ทิศ(พนักงาน)ทอดทิ้ง เพราะจะถูกทดสอบอารมณ์โดยใช่เหตุ